ก่อนฉัดวัคซีน ต้องหยุดกินยาคุมก่อนไหม
ก่อนฉัดวัคซีน ต้องหยุดกินยาคุมก่อนไหม
ก่อนฉัดวัคซีน ต้องหยุดกินยาคุมก่อนไหม คำถามที่สาว ๆ หลายคนสงสัยก็คือ คนที่ใช้ยาคุมกำเนิดอยู่จะสามารถฉีดวัคซีนโควิด ได้หรือเปล่า เพราะกลัวจะยิ่งไปเพิ่มโอกาสการเกิดลิ่มเลือด สำหรับประเด็นนี้ ผศ. พญ.อรวิน วัลลิภากร อาจารย์ประจำภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา จากโรงพยาบาลรามาธิบดี
และ นพ.โอฬาริก มุสิกวงศ์ สูตินรีแพทย์ โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร แสดงความเห็นว่า ปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลว่า การฉีดวัคซีนโควิดในผู้หญิงที่ใช้ยาคุมจะเพิ่มความเสี่ยงลิ่มเลือดอุดตันสูงขึ้นหรือไม่ ซึ่งต้องรอข้อมูลการศึกษาเพิ่มเติม ดังนั้น เมื่อไม่มีข้อมูลชัดเจน ต้องชั่งน้ำหนักผลได้-ผลเสียจากการฉีดวัคซีนกับการติดโควิด ซึ่งจะพบว่า
– ผู้ป่วยโควิดมีโอกาสเกิดลิ่มเลือดอุดตัน 2% หรือ 2 ใน 100 คน
– ขณะที่โอกาสเกิดลิ่มเลือดอุดตันจากการฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า มีประมาณ 4 ใน 1,000,000 คน
– ส่วนโอกาสเกิดลิ่มเลือดอุดตันจากการกินยาคุมในคนไทยมีประมาณ 1-3 ใน 10,000 คน
จึงควรใช้ตัวเลขนี้ประกอบการพิจารณาผลได้-ผลเสียในการฉีดวัคซีน
ด้าน นพ.มนูญ ลีเชวงวงศ์ หัวหน้าโรคระบบทางเดินหายใจ โรงพยาบาลวิชัยยุทธ ให้ข้อมูลว่า ผู้หญิงที่กินยาคุมกำเนิดมีโอกาสเกิดลิ่มเลือดอุดตันได้อยู่แล้ว ประมาณ 4 ใน 10,000 โดยอาจไม่เกี่ยวข้องกับวัคซีนเลย เพราะยาคุมกำเนิดทำให้เลือดแข็งตัวมากขึ้น
แต่การฉีดวัคซีนโควิดอาจมีอัตราการเกิดลิ่มเลือดประมาณ 1 ในล้าน แต่วัคซีนจะเป็นปัจจัยเสริมได้หรือไม่นั้น ขณะนี้ยังไม่ทราบได้ เพราะโอกาสเกิดลิ่มเลือดจากการใช้ยาคุมมีมากกว่าการฉีดวัคซีนโควิด จึงต้องดูว่าสาเหตุหลักของการเกิดลิ่มเลือดมาจากยาคุมกำเนิดหรือไม่
อย่างไรก็ตาม กลไกของการเกิดลิ่มเลือดจากยาคุมกำเนิด และจากการฉีดวัคซีนจะแตกต่างกัน และเกิดขึ้นคนละตำแหน่ง โดยยาคุมกำเนิดจะทำให้เกิดลิ่มเลือดที่ขาและไปอุดตันที่ปอด ส่วนการฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าก่อให้เกิดลิ่มเลือดที่สมองและหลอดเลือดดำในช่องท้อง ดังนั้นอาการและการรักษาก็จะไม่เหมือนกัน

เช่นเดียวกับ ศ. นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยา คลินิกภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ให้ความรู้ว่า การใช้ยาคุมกำเนิด รวมถึงสตรีตั้งครรภ์ที่มีฮอร์โมนเพศหญิงสูงอยู่แล้ว เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดการแข็งตัวของเลือดในเส้นเลือดดำใหญ่ได้ (Deep Vein Thrombosis : DVT)
ต่างจากการเกิดลิ่มเลือดที่พบในวัคซีนไวรัสเวกเตอร์ เช่น แอสตร้าเซนเนก้า หรือจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ที่การแข็งตัวเกิดลิ่มเลือดนั้นจะมีภาวะเกล็ดเลือดต่ำด้วย ที่เรียกกันว่า VITT จึงเป็นคนละโรคกัน และการรักษาก็ต่างกัน
ขณะที่ราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย ให้ข้อมูลว่า จากการศึกษาวิจัยในสตรีทั่วโลกและในไทย ซึ่งมีผู้ใช้ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนอยู่ด้วยเป็นจำนวนมาก ไม่พบว่ามีการเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดหลอดเลือดดำอุดตันแต่อย่างใด
ปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลแน่ชัดว่าควรหยุดใช้ยาคุมก่อนไปฉีดวัคซีนหรือไม่ ซึ่งแต่ละประเทศก็มีคำแนะนำที่แตกต่างกัน โดย ผศ. พญ.อรวิน และ นพ.โอฬาริก ระบุว่า จะหยุดยาคุมหรือไม่ก็ได้ แต่ถ้ากังวลเรื่องลิ่มเลือด คนที่ใช้ยาคุมในแง่คุมกำเนิดจะหยุดใช้ก่อนสัก 1 เดือนก็ไม่เสียหายอะไร
ส่วนคนที่ใช้ยาคุมหรือฮอร์โมนต่าง ๆ เพื่อรักษาโรค ต้องขึ้นอยู่กับโรคที่เป็น จึงควรปรึกษาแพทย์ที่รักษาอยู่ สำหรับผู้หญิงที่ใช้ยาคุมที่ไม่มีเอสโตรเจน เช่น ยาคุมแบบฝัง ยาคุมแบบฉีด ห่วงคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมน สามารถใช้ยาต่อไปได้เลย เพราะยาคุมกลุ่มนี้ไม่เพิ่มความเสี่ยงลิ่มเลือดอุดตัน
ด้าน พล.อ.ท. นพ.อนุตตร จิตตินันทน์ ประธานราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย ได้สรุปคำแนะนำของราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศอังกฤษ ไว้ว่า ผู้ใช้การคุมกำเนิดแบบฮอร์โมนรวมไม่ควรหยุดใช้ยาเม็ดคุมกำเนิด แผ่นแปะ หรือวงแหวนช่องคลอด
เมื่อถูกเรียกให้ฉีดวัคซีน ซึ่งจะทำให้เสี่ยงต่อการตั้งครรภ์ แต่ถ้าหากต้องการเปลี่ยนไปใช้วิธีการคุมกำเนิดแบบอื่นเนื่องจากไม่ต้องการเสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือดอุดตันที่หลอดเลือดดำในอนาคตก็สามารถทำได้
ในส่วนของราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย ให้คำแนะนำว่า ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนที่มีเอสโตรเจนเป็นส่วนประกอบ ได้แก่ ยาเม็ด ยาฉีดคุมกำเนิด และแผ่นยาปิดผิวหนังคุมกำเนิด มีผลเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดหลอดเลือดดำอุดตันได้มากกว่าผู้ที่ไม่ได้ใช้
แต่ภาวะดังกล่าวพบได้น้อยมากในสตรีไทย และยังพบได้น้อยกว่าในสตรีตั้งครรภ์ที่มีระดับเอสโตรเจนสูงมากตามธรรมชาติ ดังนั้น ผู้ที่ใช้ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนทุกชนิด สามารถรับการฉีดวัคซีนโควิด 19 ได้
โดยไม่จำเป็นต้องหยุดการใช้ แต่หากยังมีความกังวลใจ และต้องการหยุดการใช้ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมน ควรใช้วิธีการคุมกำเนิดอื่น ๆ มาทดแทนเพื่อป้องกันการตั้งครรภ์เลือกใช้ยาคุมอย่างไร เสี่ยงลิ่มเลือดอุดตันน้อยลง

สำหรับคนที่ต้องการใช้ยาคุมกำเนิด เราก็มีวิธีใช้ยาคุมอย่างปลอดภัย และลดความเสี่ยงการเกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตันมาฝาก ดังนี้ค่ะ
1. หากใช้ยาคุมกำเนิดเป็นครั้งแรกควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อน เพื่อความปลอดภัยในการเลือกใช้ยาที่เหมาะสม ไม่ควรซื้อยาคุมกำเนิดมาใช้เอง
2. กรณีอยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่อาจเป็นลิ่มเลือดอุดตัน เช่น มีภาวะอ้วน มีโรคประจำตัว มีโรคทางพันธุกรรมที่เกี่ยวข้อง หรือคนทั่วไปที่ต้องการใช้ยาคุม แต่ไม่อยากเพิ่มความเสี่ยงลิ่มเลือดอุดตัน ควรหลีกเลี่ยงยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม เช่น แผ่นแปะคุมกำเนิด วงแหวนคุมกำเนิด และยาเม็ดคุมกำเนิดที่มีฮอร์โมนเอสโตรเจนสูง (50 ไมโครกรัม)
โดยแนะนำให้ใช้ถุงยางอนามัย หรือวิธีคุมกำเนิดแบบฮอร์โมนเดี่ยวแทน ได้แก่
- ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนเดี่ยว
- ยาฉีดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนเดี่ยว
- ห่วงคุมกำเนิด
- ยาฝังคุมกำเนิด
3. คนที่มีประวัติปวดศีรษะไมเกรนชนิดรุนแรง หรือไมเกรนที่ร่วมกับความผิดปกติเฉพาะที่ของระบบประสาท เช่น เห็นแสงวูบวาบ เป็นเส้นซิกแซก ตาเบลอหรือมืดในช่วงที่ปวดหัว พูดผิดปกติ หรือมีอาการชาบริเวณใดบริเวณหนึ่งของร่างกาย จะเสี่ยงต่อภาวะลิ่มเลือดอุดตันสูง จึงห้ามใช้ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวมเด็ดขาด โดยให้เลือกคุมกำเนิดด้วยวิธีอื่น
4. ผู้ที่ใช้ยาคุมกำเนิดควรงดสูบบุหรี่ เพราะการสูบบุหรี่เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำ
5. พยายามเคลื่อนไหวร่างกายบ่อย ๆ อย่านั่งหรือยืนอยู่กับที่เป็นเวลานาน ๆ เพราะจะทำให้เลือดไหลเวียนไม่ดี
6. ลดความอ้วน รักษาน้ำหนักตัวไม่ให้เกินเกณฑ์ด้วยการออกกำลังกาย เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เพื่อลดความเสี่ยงการเกิดโรคอ้วน ความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคหัวใจ ฯลฯ
ติดตามเรื่องราว ทานยาคุมกำเนิดเป็นประจำ สามารถฉีดวัคซีนได้ไหม