อาการปวดประจำของผู้หญิง

อาการปวดประจำของผู้หญิง

อาการปวดประจำของผู้หญิง ผู้หญิงจำนวนมากมีอาการปวดท้องก่อนมีประจำเดือน 1-2 วัน และระหว่างมีประจำเดือนในช่วงวันแรกๆ อาการปวดประจำเดือน (dysmenorrhea) มีตั้งแต่อาการปวดหน่วงหรือปวดเกร็งเล็กน้อย ไปจนถึงอาการปวดขั้นรุนแรงบริเวณท้องน้อย

และอาจมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น ปวดหลังด้านล่าง คลื่นไส้อาเจียน เหงื่อออก ท้องเสียหรือท้องผูก ท้องอืด เวียนศีรษะและปวดศีรษะ เป็นต้น

สาเหตุของการปวดประจำเดือน

โดยเฉลี่ยทุกๆ 28 วัน หากไข่ไม่มีอสุจิมาผสม เยื่อบุโพรงมดลูกจะหลุดลอกออกมาเป็นประจำเดือน อาการปวดประจำเดือนเกิดจากสารที่ออกฤทธิ์คล้ายฮอร์โมน ชื่อว่า โพรสตาแกลนดิน (prostaglandin)

ซึ่งก่อตัวขึ้นที่เยื่อบุโพรงมดลูกระหว่างมีประจำเดือน โพรสตาแกลนดินทำให้กล้ามเนื้อบีบตัวและหดเกร็งคล้ายกับอาการเจ็บปวดขณะคลอดบุตร ,SA Casinoนอกจากนี้ยังทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ ท้องเสีย หากร่างกายหลั่งสารนี้ในปริมาณมากจะยิ่งเพิ่มความรุนแรงของอาการบีบรัด ทำให้รู้สึกปวดประจำเดือนยิ่งขึ้น

ประเภทของอาการปวดประจำเดือน

อาการปวดประจำเดือนแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทด้วยกัน

  • ปวดประจำเดือนประเภทปฐมภูมิ (Primary Dysmenorrhea) เป็นอาการปวดประจำเดือนที่พบบ่อยที่สุด สาเหตุมักเกิดจากการที่เยื่อบุโพรงมดลูกผลิตสารโพรสตาแกลนดินมากเกินไป
  • ปวดประจำเดือนประเภททุติยภูมิ (Secondary Dysmenorrhea) เกิดจากภาวะผิดปกติของมดลูกหรืออวัยวะสืบพันธุ์อื่นๆ เช่น
    • เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (endometriosis) เกิดจากเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญนอกมดลูก ซึ่งเมื่อเจริญผิดที่แต่ยังทำหน้าที่สร้างประจำเดือนเหมือนเดิม ทำให้เลือดประจำเดือนมีสีแดงคล้ำ ปวดท้องน้อยอย่างรุนแรงและมีบุตรยาก
    • เยื่อบุมดลูกเจริญภายในกล้ามเนื้อมดลูก (Adenomyosis)  ผู้ป่วยจะมีอาการปวดประจำเดือนอย่างมาก และ/หรือ เลือดประจำเดือนมากและยาวนานกว่าปกติ 
    • เนื้องอกมดลูก (uterine fibroids)  มักไม่ใช่เนื้อร้าย ขนาดมีตั้งแต่เล็กมากไปจนถึงขนาดใหญ่ หากมีขนาดใหญ่ มักทำให้มีเลือดประจำเดือนออกมามากหรือประจำเดือนกระปริบกระปรอยนานเป็นสัปดาห์ พร้อมกับอาการปวดประจำเดือนหรือปวดหลังส่วนล่างแบบเรื้อรัง 
    • ภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบ (Pelvic Inflammatory Disease)  เป็นการติดเชื้อบริเวณระบบสืบพันธุ์ในเพศหญิง ส่วนใหญ่เกิดจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หากไม่รักษาให้หายขาด บาคาร่า ออนไลน์ ทำให้เกิดการอักเสบและปวดท้องระหว่างมีประจำเดือนได้
    • ภาวะปากมดลูกตีบ (Cervical stenosis) เกิดจากปากมดลูกแคบเกินไป ทำให้เลือดประจำเดือนไหลได้ช้าแต่หากรูปิดสนิท จะทำให้ของเหลวคั่งค้างภายในโพรงมดลูก ทำให้เกิดอาการปวดท้องมากและเรื้อรัง
อาการปวดประจำของผู้หญิง

การป้องกันและบรรเทาอาการปวดประจำเดือน

หากมีอาการปวดประจำเดือน ผู้ป่วยสามารถดูแลรักษาตัวเองได้โดย

  • ใช้กระเป๋าน้ำร้อนประคบท้องน้อยและหลัง
  • อาบน้ำอุ่น
  • ใช้เทคนิคการผ่อนคลาย เช่น โยคะหรือนั่งสมาธิ
  • รับประทานยาต้านการอักเสบชนิดไม่มีสเตียรอยด์ (NSAIDs) ควรรับประทานเมื่อเริ่มมีอาการปวดหรือก่อนมีอาการปวด การรับประทานยาแก้ปวดอาจมีผลข้างเคียง ดังนั้นควรใช้เมื่อมีอาการปวดอย่างรุนแรงเท่านั้น
  • พักผ่อนให้เพียงพอ
  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
  • รับประทานผักและผลไม้ ลดปริมาณอาหารที่มีไขมัน เกลือ เครื่องดื่มผสมคาเฟอีน เครื่องดื่มแอลกอฮอล์และขนมหวาน

เมื่อไหร่ที่ควรไปพบแพทย์

สำหรับผู้หญิงส่วนใหญ่อาการปวดประจำเดือนเป็นเรื่องปกติ แต่หากมีอาการดังต่อไปนี้ อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงโรคภัยที่ร้ายแรงกว่าอาการปวดประจำเดือนทั่วไป

  • รับประทานยาแล้วแต่ยังไม่หายปวด
  • อาการปวดประจำเดือนแย่ลงเรื่อยๆ
  • มีอายุมากกว่า 25 ปีและรู้สึกปวดประจำเดือนอย่างรุนแรงเป็นครั้งแรก
  • มีไข้พร้อมปวดประจำเดือน
  • เลือดประจำเดือนไหลออกมามากว่าปกติ โดยต้องเปลี่ยนผ้าอนามัยทุกชั่วโมง
  • รู้สึกปวดท้องน้อยถึงแม้ไม่มีประจำเดือนก็ตาม
  • มีอาการติดเชื้อ เช่น ตกขาวมีกลิ่น อาการคันบริเวณปากช่องคลอด เลือดประจำเดือนมีสีแปลกไปจากปกติ
  • มีบุตรยาก

ปวดประจำเดือน ปัญหาโลกแตกของผู้หญิงที่นอกจากจะบรรเทาได้ด้วยการกินยาแก้ปวด ยังสามารถลดอาการปวดได้ด้วยวิธีเหล่านี้ด้วยนะ กี่ครั้งกี่หนที่ต้องทนกับ “อาการปวดประจำเดือน” จนตัวขดตัวงอทุกเดือน ถ้าลำพังนานๆ ทีถึงจะปวดก็คงพอกินยาบรรเทาได้ แต่สำหรับใครที่ปวดหนัก ปวดบ่อย ปวดทุกครั้งและบางทีก็ปวดหลายวันติดต่อกัน เลยไม่กล้ากินยาแก้ปวดถี่ๆ เพราะกลัวไตจะพังก่อนวัยอันควร นี่คือวิธีแก้ปวดประจำเดือนแบบไม่ต้องพึ่งยาที่เราอยากแนะนำ

ออกกำลังกายเบาๆ

สาวๆ หลายคนเข้าใจว่าช่วงมีประจำเดือนไม่ควรออกกำลังกาย เพราะเป็นช่วงที่ร่างกายอ่อนเพลียและเสี่ยงต่อการเป็นลมได้ง่าย Sexyslotแต่จริงๆ แล้วผู้หญิงทุกคนสามารถออกกำลังกายได้ขณะมีประจำเดือน เพียงแต่ต้องเลือกให้เหมาะสมกับความแข็งแรงของตัวเอง อาจจะเลือกเป็นกิจกรรมที่ไม่หนักมาก

เช่น การเดินเร็ว หรือ เล่นโยคะในท่าง่ายๆ ซึ่งการออกกำลังกายช่วงมีประจำเดือนนั้นไม่เพียงแต่ช่วยปรับอารมณ์ในวันที่ฮอร์โมนแปรปรวน แต่สาร Endorphins ที่หลั่งออกมา… ยังช่วยลดอาการปวดประจำเดือนได้ดีอีกด้วย

ประคบร้อน

กระเป๋าประคบร้อน…น่าจะเป็นไอเท็มที่สาวๆ ทุกคนมีติดบ้านหรือที่ทำงาน เพราะเป็นวิธีที่ง่ายและได้ผลดี เนื่องจากความร้อนมีส่วนช่วยให้กล้ามเนื้อที่ตึงอยู่ค่อยๆ ผ่อนคลาย ทำให้อาการปวดประจำเดือนทุเลาลง รวมไปถึงการอาบน้ำอุ่นก็เป็นอีกวิธีที่ช่วยลดอาการปวดประจำเดือนได้

จิบเครื่องดื่มอุ่นๆ ที่ไม่ใช่ชาหรือกาแฟร้อน

นอกจากการสัมผัสความร้อนจากภายนอก การปรับให้ภายในร่างกายอุ่นขึ้นด้วยการจิบเครื่องดื่มอุ่นๆ ระหว่างวันก็ช่วยลดอาการปวดประจำเดือนลงได้ แต่ไม่ควรดื่มเป็นชาหรือกาแฟร้อน เพราะเครื่องดื่มประเภทคาเฟอีนจะมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ส่งผลให้อาการปวดประจำเดือนเพิ่มความรุนแรงขึ้นได้ ควรเลือกเป็นน้ำอุ่นธรรมดา น้ำผึ้งผสมมะนาว หรือน้ำขิงอุ่นๆ จะดีกว่า

เน้นกินอาหารกลุ่มที่มีแมกนีเซียม

รู้หรือไม่ว่า แค่เลือกกินให้ถูกก็ช่วยลดอาการปวดประจำเดือนได้โดยไม่ต้องพึ่งยาเลยทีเดียว ซึ่งอาหารที่เหมาะสำหรับช่วงมีประจำเดือน คือกลุ่มที่มีแมกนีเซียม เช่น ผักโขม ผักปวยเล้ง ตำลึง หรือกล้วย เพราะแมกนีเซียมมีส่วนช่วยคลายกล้ามเนื้อ ลดอาการปวดเกร็งในช่องท้อง ทำให้อาการปวดประจำเดือนทุเลาลงได้

นวดบริเวณท้องน้อยเบาๆ

หากมีอาการปวดท้องประจำเดือนขณะนั่งทำงาน ก็สามารถบรรเทาด้วยการนวดบริเวณท้องน้อยเบาๆ โดยนวดวนเป็นวงกลมเพื่อให้กล้ามเนื้อบริเวณท้องผ่อนคลายลง อาการปวดประจำเดือนจากการตึงของกล้ามเนื้อก็จะลดลงตามไปด้วย

การฝังเข็มระงับปวด

อีกวิธีที่ใช้เทคนิคทางการแพทย์เข้าช่วย ก็คือการฝังเข็มระงับปวด เป็นการฝังเข็มเพื่อกระตุ้นการทำงานของส่วนต่างๆ ในร่างกาย ช่วยให้ระบบเลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น มดลูกคลายตัวจากการบีบรัด ป้องกันอาการปวดประจำเดือน… หรือช่วยให้อาการปวดประจำเดือนไม่รุนแรงมากนัก

ติดตามเรื่องราวก่อหน้านี้ได้ที่นี่

You may also like...

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น