เช็คอาการที่ลูกของคุณแพ้อาหาร
เช็คอาการที่ลูกของคุณแพ้อาหาร
เช็คอาการที่ลูกของคุณแพ้อาหาร เด็กแพ้อาหาร อาการที่พบบ่อยในเด็กวัยกำลังกินกำลังนอนในปัจจุบัน อาการแพ้อาหารเป็นอย่างไร มีวิธีสังเกตและรับมืออย่างไรบ้าง เรามีคำตอบ พร้อมลิสต์อาหารเสี่ยงแพ้ที่คุณพ่อคุณแม่ต้องระวังมาฝาก
เมื่อลูกน้อยอายุตั้งแต่ 6 เดือน เป็นวัยที่ควรได้รับอาหารเสริมนอกเหนือจากนมแม่ แต่ในยุคนี้กลับพบว่าเด็กหลายคนมักมีอาการแพ้อาหาร ซึ่งคุณพ่อคุณแม่อาจรู้สึกเป็นกังวล เพราะไม่มีทางรู้เลยว่าเด็กแพ้อาหารอะไรบ้าง และอาจเสี่ยงต่ออาการแพ้รุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้
ดังนั้นเรามารู้จักโรคเด็กชนิดนี้กันดีกว่าว่าเกิดจากอะไร มีอาการอย่างไร และมีอาหารประเภทไหนบ้างที่เสี่ยงกับการที่เจ้าตัวเล็กจะเกิดการแพ้ รวมถึงมีคำแนะนำวิธีเริ่มต้นรับประทานอาหารเสริมอย่างไรให้ปลอดภัยกับลูกน้อยมาฝากกันด้วย

ทำไมลูกแพ้อาหาร
อาการแพ้อาหารพบได้บ่อยถึง 10% ในเด็ก โดยสามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ ดังนี้
– เผ่าพันธุ์ โดยคนผิวดำที่ไม่ใช่คนเอเชียและเป็นเพศชาย มีความเสี่ยงสูงในการเกิดการแพ้อาหาร
– กรรมพันธุ์ หากในครอบครัวมีสมาชิกที่เป็นโรคภูมิแพ้ 1 คน ความเสี่ยงในการเกิดการแพ้อาหารในเด็กจะเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 40 เลยทีเดียว
– การขาดวิตามินดี เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดการแพ้อาหาร
– การรับประทานอาหารซ้ำ ๆ แบบเดิมต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน ๆ อาจทำให้ลูกเกิดความเสี่ยงในการแพ้อาหารได้ เพราะฉะนั้นคุณแม่ควรให้ลูกน้อยรับประทานอาหารที่หลากหลายตั้งแต่ยังเป็นทารก เพื่อป้องกันอาการแพ้อาหาร
ลูกแพ้อาหาร อันตรายหรือไม่
ความรุนแรงของอาการแพ้อาหารในเด็กมีตั้งแต่ระดับน้อย ปานกลาง และรุนแรง โดยอาการที่รุนแรงที่สุด คือ การเกิดปฏิกิริยาเฉียบพลันต่อระบบของอวัยวะในร่างกายที่สำคัญตั้งแต่ 2 ระบบขึ้นไป ซึ่งร้ายแรงจนอาจทำให้เสียชีวิตได้
สังเกตอย่างไรว่าลูกแพ้อาหาร
อาการแพ้เกิดขึ้นได้หลายแบบ ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าตัวเล็กจะมีอาการอย่างไร โดยแบ่งการแสดงอาการแพ้ได้เป็น 4 ทางใหญ่ ๆ ด้วยกัน คือ
– ระบบทางเดินอาหาร อาการแพ้ คือ คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้องเรื้อรัง อาหารไม่ย่อย ท้องเสีย คันในช่องปาก มีอาการบวมของริมฝีปาก ลิ้น หรือเพดานปาก คันหรือแน่นในคอ
– ระบบผิวหนังและดวงตา อาการที่พบบ่อย คือ มีผื่นคัน ตุ่มแดง ลมพิษ บริเวณผิวหนังหรือตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย คันตา น้ำตาไหล ตาแดง อาการบวมรอบตา
– ระบบทางเดินหายใจ อาการที่พบ คือ แน่นจมูก น้ำมูกไหล ไอ จาม คันในจมูก คอแห้ง หายใจลำบาก แน่นหรือเจ็บหน้าอก หอบ กล่องเสียงบวม มักพบร่วมกับอาการทางระบบทางเดินอาหารหรือผิวหนัง
– หัวใจและหลอดเลือด อาการที่พบ คือ หัวใจเต้นเร็ว มึนงง สลบหรือเป็นลม ความดันโลหิตต่ำ
มีวิธีทดสอบและรับมืออย่างไร เมื่อลูกแพ้อาหาร
ในรายที่แพ้รุนแรง ควรพาลูกไปพบแพทย์เพื่อฉีดยาอะดรีนาลิน (Adrenaline) ให้เร็วที่สุด แต่หากมีอาการไม่มาก แพทย์จะแนะนำให้กินยาแก้แพ้ได้ ที่สำคัญคือคุณพ่อคุณแม่จะต้องหลีกเลี่ยงไม่ให้ลูกรับประทานอาหารชนิดที่แพ้

แต่ถ้าอยากรู้ว่าลูกแพ้อาหารอะไรบ้าง สามารถไปพบแพทย์เพื่อทำการทดสอบด้วยวิธีสะกิดผิว (Skin Prick Test) การเจาะเลือดเพื่อวัดระดับการแพ้ที่จำเพาะต่ออาหารชนิดนั้น ๆ (Specific IgE) และการทำ Oral Food Challenge Test ในกรณีที่มีอาการรุนแรงและฉับพลัน
โดยแพทย์จะให้เด็กรับประทานอาหารที่สงสัยว่าอาจจะแพ้ ด้วยชนิดและปริมาณที่เหมาะสม ค่อย ๆ ให้เด็กกินในช่วงเวลาหนึ่ง แล้วคอยสังเกตอาการอย่างใกล้ชิดประมาณ 4-6 ชั่วโมง หลังจากนั้นจึงจะทราบแน่ชัดว่าเด็กแพ้อาหารชนิดนั้น ๆ หรือไม่
อาหารที่เสี่ยงต่อการแพ้
มีอาหารหลายอย่างที่เด็ก ๆ มักจะเกิดอาการแพ้กัน ซึ่งคุณแม่สามารถสังเกตการแพ้ได้ด้วยการลองให้อาหารเหล่านั้นทีละน้อยแล้วสังเกตอาการแพ้ที่จะเกิดขึ้น หากมีอาการที่เริ่มส่งสัญญาณ
เช่น อาเจียน ปวดท้อง ปากบวมเจ่อ มีผื่นคัน จาม คันในจมูก หายใจลำบาก แน่นหน้าอก หอบ ฯลฯ ให้รีบหยุดอาหารนั้นทันที เพราะถ้าลูกรับไปมาก ๆ อาจเกิดการแพ้รุนแรง ผื่นขึ้นเต็มตัว ไข้ขึ้น หายใจไม่ออกและเกิดอันตรายได้
Top 5 อาหารที่เด็ก ๆ มักเสี่ยงแพ้
1. นมวัว และผลิตภัณฑ์จากนมวัว
ชีส โยเกิร์ต ครีม เป็นอาหารกลุ่มต้น ๆ ที่เด็กจะเกิดอาการแพ้ได้ ซึ่งการแพ้อาจมาจาก 2 สาเหตุหลัก คือพันธุกรรม และการแพ้โปรตีนเวย์ เคซีน และ B-Lactoglobulin ซึ่งเป็นการแพ้โปรตีนนมวัว หรือที่เรียกว่า Cow Milk Protein Allergy
เมนูทดแทน : นมแม่ นมถั่วเหลือง หรือนมไก่ โปรตีนในนมทางเลือกเหล่านี้ จะถูกย่อยและดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายกว่านมวัว แต่มีสารอาหารใกล้เคียงกันจึงสามารถใช้ทดแทนกันได้
ติดตามเรื่องราว ลูกพีช ไม่ได้แค่มีกลิ่นหอม ประโยชน์อีกเพียบ