9 อาการที่บ่งบอกว่าคุณท้อง
9 อาการที่บ่งบอกว่าคุณท้อง
9 อาการที่บ่งบอกว่าคุณท้อง การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน และร่างกายในระหว่างตั้งครรภ์อาจทำให้คุณแม่หลายคนเผชิญ กับอาการคนท้องที่แตกต่างกันไป โดยอาการคนท้องระยะแรกที่คุณแม่ควรสังเกต ได้แก่
1. เลือดล้างหน้าเด็ก
เลือดล้างหน้าเด็ก (Implantation Bleeding) จะพบในช่วง 6-12 วันหลังจากไข่ได้รับการปฏิสนธิ โดยเป็นเลือดที่เกิดจากการฝังตัวของตัวอ่อนภายในมดลูก ทำให้คุณแม่มีเลือดออกปริมาณเล็กน้อยจากบริเวณช่องคลอดประมาณ 1-3 วัน แต่บางรายอาจมีเลือดไหลน้อยมาก
จนไม่ทันได้สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลง คุณแม่อาจมีเลือดล้างหน้าเด็กพร้อมกับมีอาการปวดท้องน้อยร่วมด้วย ทำให้อาจเกิดความสับสนระหว่างอาการคนท้องกับอาการมีประจำเดือน หากเป็นประจำเดือน มักจะมีเลือดออกปริมาณมากกว่าและระยะเวลานานกว่า
ส่วนอาการปวดท้องประจำเดือนพบได้ในช่วง 24-48 ชั่วโมงก่อนประจำเดือนมา แต่อาการปวดจะค่อย ๆ บรรเทาลงจนกระทั่งหายไปเมื่อประจำเดือนหมด นอกจากนี้ อาจสังเกตได้จากตำแหน่งของอาการปวดร่วมด้วย โดยอาการปวดท้อง จากการตั้งครรภ์มักปวดบริเวณท้องน้อยและหลังส่วนล่าง
2. ประจำเดือนขาด
อาการคนท้องระยะแรกที่คุณแม่อาจพบหลังจากเลือดล้างหน้าเด็กคือการขาดประจำเดือน ถือเป็นหนึ่งในสัญญาณหลักที่บ่งบอกถึงการตั้งครรภ์ โดยสาเหตุที่ทำให้ประจำเดือนขาดนั้นมาจากฮอร์โมนเอชซีจี (Human Chorionic Gonadotropin: hCG)
ที่ร่างกายผลิตเพื่อให้ร่างกายหยุดการตกไข่ในระหว่างตั้งครรภ์ ส่งผลให้ไม่เกิดการลอกของเยื่อบุมดลูกเพื่อรักษาไข่ที่ได้รับการปฏิสนธิและฝังอยู่ในผนังมดลูก ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ไม่มีเลือดประจำเดือนในช่วงที่กำลังตั้งครรภ์
3. คัดเต้านม
ในช่วง 1-2 สัปดาห์แรกของการตั้งครรภ์ คุณแม่อาจพบว่าหน้าอกหรือเต้านมนั้นมีการเปลี่ยนแปลง โดยหน้าอกจะมีขนาดใหญ่ขึ้น หนาขึ้น หากคล้ำแล้วจะรู้สึกแข็งกว่าปกติและมีอาการเจ็บร่วมด้วย

อาการเหล่านี้อาจค่อย ๆ รุนแรงขึ้นจนทำให้คุณแม่รู้สึกไม่สบายตัว โดยเฉพาะเมื่อสัมผัสโดนหน้าอกหรือมีการเคลื่อนไหวร่างกาย แต่อาการคัดเต้านมอาจลดน้อยลงหลังจากตั้งครรภ์ได้ 3 เดือน
4. แพ้ท้อง
อาการแพ้ท้องสามารถเกิดได้ ทั้งกลางวันและกลางคืน ส่วนใหญ่จะพบได้ในช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ โดยเฉพาะสัปดาห์ที่ 2-8 หลังการตั้งครรภ์ โดยหลายคนมักเข้าใจผิดว่าอาการแพ้ท้อง
ต้องเป็นอาการคลื่นไส้และอาเจียน แต่อาจมีแค่อาการคลื่นไส้เพียงอย่างเดียวก็ได้ นอกจากนี้ อาการแพ้ท้องอาจส่งผลให้บางคนได้กลิ่นที่รุนแรงมากขึ้นกว่าปกติจนอาจไปกระตุ้นให้คลื่นไส้ได้ แต่ละคนอาจมีระดับความรุนแรงในการแพ้ท้องแตกต่างกัน
ส่วนมากอาการจะรุนแรงขึ้นเมื่อเข้าสู่สัปดาห์ที่ 12 หรือสัปดาห์สุดท้ายของเดือนที่ 3 แต่อาการแพ้ท้องจะเริ่มบรรเทาลงเมื่อเข้าสู่เดือนที่ 4 อย่างไรก็ตาม คุณแม่บางคนอาจแพ้ท้องนานกว่านั้น หากมีอาการแพ้ท้องตลอดทั้งวันหรือมีอาการรุนแรงกว่าปกติ ควรไปพบแพทย์
5. ปัสสาวะบ่อย
จากการศึกษาพบว่าอาการปัสสาวะบ่อยเป็นอาการคนท้องระยะแรกที่คุณแม่จำนวนกว่าครึ่งหนึ่งมักพบ โดยในช่วงสัปดาห์ที่ 3 ของการตั้งครรภ์ มดลูกจะขยายใหญ่ขึ้นตามพัฒนาการของทารก ส่งผลให้มดลูกไปเบียดอวัยวะที่อยู่รอบ ๆ
โดยเฉพาะกระเพาะปัสสาวะ ขณะเดียวกันร่างกายก็มีปริมาณเลือดและของเหลวเพิ่มมากขึ้นในช่วงตั้งครรภ์ รวมทั้งฮอร์โมนที่เพิ่มขึ้นก็มีส่วนกระตุ้นการทำงานของกระเพาะปัสสาวะ จึงทำให้คุณแม่ปวดปัสสาวะบ่อยขึ้นหรืออาจมีอาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่เกิดขึ้นได้
6. อ่อนเพลีย
ระดับฮอร์โมนโปรเจนเตอโรนและเอสโตรเจนจะค่อย ๆ เพิ่มสูงขึ้นหลังจากตั้งครรภ์ ทำให้ร่างกายทำงานหนักมากขึ้นและสูญเสียพลังงานได้ง่าย ส่งผลให้คุณแม่รู้สึกง่วงนอน อ่อนเพลีย และเหนื่อยล้า
โดยอาการอ่อนเพลียอาจพบได้ตั้งแต่ช่วงสัปดาห์แรก ๆ ของการตั้งครรภ์ไปจนถึงสัปดาห์ที่ 12 ของการตั้งครรภ์ แต่คุณแม่บางคนอาจพบอาการนี้หลังจากตั้งครรภ์เพียงสัปดาห์เดียว
7. ท้องผูกและท้องอืด
อาการท้องผูกและท้องอืด เป็นอีกอาการคนท้องระยะแรกที่พบได้ โดยสาเหตุมาจากการเพิ่มขึ้นของฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนที่จะไปลดการทำงานของกล้ามเนื้อเรียบ (Smooth Muscle) ภายในระบบทางเดินอาหาร
เพื่อให้ร่างกายมีเวลาดูดซึมสารอาหารได้มากขึ้นจนอาจทำให้เกิดอาการท้องอืด นอกจากนี้ กล้ามเนื้อเรียบที่คลายตัวลงยังส่งผลให้ลำไส้เคลื่อนตัวได้ช้าลง จึงอาจส่งผลต่อการขับถ่ายและทำให้ท้องผูกได้
อาการท้องผูกและท้องอืดอาจหายได้เองเมื่อเข้าสู่เดือนที่ 4 แต่บางรายอาจเป็นตลอดการตั้งครรภ์ ซึ่งคุณแม่อาจบรรเทาอาการท้องอืด ได้ด้วยการลองปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทาน โดยรับประทานอาหารช้าลงและอาหารคำเล็กลง งดของทอด

ของหวาน กะหล่ำปลี ถั่ว หรืออาหารอื่น ๆ ที่ทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะ ส่วนการบรรเทาอาการท้องผูกอาจทำได้โดยการรับประทานอาหารที่มีใยอาหารสูงโดยเฉพาะผักและผลไม้ ร่วมกับการดื่มน้ำในปริมาณที่เหมาะสม
8. อารมณ์อ่อนไหว
การตั้งครรภ์ส่งผลให้ระดับของฮอร์โมนเอสโตรเจน และโปรเจนเตอโรนสูงขึ้น จึงกระทบต่อสภาวะอารมณ์และความรู้สึกของผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ได้ง่าย โดยคุณแม่อาจมีอารมณ์ที่อ่อนไหวมากกว่าปกติหรืออารมณ์เปลี่ยนแปลงได้ง่าย เช่น เศร้า หดหู่ หงุดหงิด กังวล ตื่นเต้นหรือมีความสุขในบางครั้ง
นอกจากนี้ คนท้องอาจเสี่ยงต่อการเกิดภาวะซึมเศร้าระหว่างตั้งครรภ์ได้อีกด้วย หากตัวคุณแม่เองหรือคุณพ่อสังเกตพบว่าเกิดอารมณ์ซึมเศร้าหรือหดหู่นานต่อเนื่องกว่า 2 สัปดาห์ ควรปรึกษาและขอคำแนะนำจากแพทย์ เพราะภาวะทางด้านอารมณ์อาจกระทบต่อทารกในครรภ์ได้
9. พฤติกรรมการรับประทานเปลี่ยนไป
คุณแม่ที่เพิ่งเริ่มตั้งครรภ์อาจมีพฤติกรรมการรับประทานที่ต่างไปจากเดิม โดยอาจรู้สึกอยากอาหารเพิ่มมากขึ้น หรือมีความชอบในการรับประทานอาหารที่ต่างไปจากเดิม เช่น รู้สึกเบื่ออาหาร ไม่ชอบอาหารที่เคยรับประทานเป็นประจำ แต่อยากรับประทานของหมักดองหรืออาหารชนิดอื่น
ที่ไม่ค่อยได้รับประทานในชีวิตประจำวัน เป็นต้น พฤติกรรมการรับประทานที่เปลี่ยนไปนี้อาจพบได้ตลอดช่วงการตั้งครรภ์ คุณแม่ควรควบคุมปริมาณการรับประทานอาหารให้พอดีเพื่อไม่ให้กระทบต่อร่างกาย นอกจากนี้ คนท้องบางคนอาจอยากรับประทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์
หรือของที่ไม่ใช่อาหาร อย่างน้ำแข็ง เศษไม้ หรือเศษดิน หากมีความรู้สึกอยากรับประทานของเหล่านี้ ควรไปพบแพทย์ อย่างไรก็ตาม คุณแม่บางคนอาจมีอาการคนท้องระยะแรกในรูปแบบอื่น อย่างปวดหลัง ปวดศีรษะ ตัวร้อนขึ้น โดยแต่ละคนอาจมีอาการคนท้องที่แตกต่างกันไป
และอาการบางอย่างก็อาจเกิดขึ้นจากสาเหตุอื่นได้ ดังนั้น คุณแม่ควรสังเกตจากหลาย ๆ อาการที่เกิดขึ้น และอาจปรึกษาเภสัชกรเกี่ยวกับการใช้ที่ตรวจครรภ์เพื่อยืนยันถึงการตั้งครรภ์เบื้องต้น
วิธีรับมืออาการคนท้องระยะแรก
อาการตั้งครรภ์ในช่วงแรกอาจส่งผลกระทบทั้งร่างกายและจิตใจของว่าที่คุณแม่ โดยเบื้องต้นอาจบรรเทาได้ด้วยวิธีดังนี้
- พักผ่อนให้เพียงพอ เพราะการพักผ่อนอย่างเพียงพอจะช่วยบรรเทาอาการเหนื่อยล้าและอ่อนแรง พร้อมทั้งฟื้นฟูสุขภาพโดยรวมให้แข็งแรงขึ้น และอาจช่วยบรรเทาภาวะอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงได้ง่าย
- ดื่มน้ำในปริมาณที่เหมาะสม แม้ว่าจะต้องปัสสาวะบ่อยมากขึ้น แต่คุณแม่ก็ควรจิบน้ำอยู่บ่อยเพื่อให้ร่างกายไม่ขาดน้ำ โดยเฉพาะคุณแม่ที่แพ้ท้อง นอกจากนี้ การดื่มน้ำยังรักษาอุณหภูมิร่างกายไม่ให้สูงเกินไปด้วย
ติดตามเรื่องราว เครื่องรางนำพาเรื่องความรัก