Lambretta สกู๊ตเตอร์สุดคลาสสิค

Lambretta สกู๊ตเตอร์สุดคลาสสิค

Lambretta สกู๊ตเตอร์สุดคลาสสิค หรือ จักรยานยนต์ล้อเล็ก (Motor-scooter) ยี่ห้อแลมเบรตต้า (Lambretta) เริ่มผลิตใช้เป็นครั้งแรกในประเทศอิตาลี เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 แบบที่ผลิตขึ้นในสมัยนั้น เรียกวว่า แบบ A แบบB และ แบบC จามลำดับ

รูปลักษณะตัวถัง และการวางเครื่องยนต์ของแลมเบรตต้าในสมัยนั้น อาจจะแตกต่างกับแลมเบรตต้าในปัจจุบันอยู่บ้าง แต่ก็คงรักษาทรวดทรงเดิมของมันให้เห็นสภาพว่าเป็น รถจักรยานยนต์ล้อเล็ก หรือ สกู๊ตเตอร์ไว้ตราบเท่าทุกวันนี้

“แลมเบรตต้า” คันแรกเมื่อเริ่มผลิตขึ้นในราวปี ค.ศ.1951 เป็นแบบทรวดทรงลักษณะตัวถังของรถและเครื่องยนต์ยาวแร งม้าของเครื่องยนต์ประมาณ 123 ซี.ซี. มีท่อเหล็กคู่โค้งไปรอบถังน้ำมันและอยู่เหนือเครื่อง ยนต์โดยรองรับอยู่ใต้เบาะหรืออานที่นั่งขับขี่ แบบๆ เรียกว่า แบบA (Model A) และ แบบB ตามลำดับ

ส่วนแบบC ได้เริ่มผลิตเอาในปี ค.ศ. 1952 ซึ่งรวมเอาตัวถังของรถเป็นรูปท่อเดียว และสปริงหรือแหนบล้อหลังขึ้นอยู่กับเพลาถ่ายกำลัง แบบD ซึ่งเป็นแบบล่าสุดของแลมเบรตต้าในระยะต่อมา ผู้ผลิตได้เพิ่มเครื่องยนต์ไปเป็น 2 แบบ แต่รางแม้ของเครื่องยนต์คงประมาณไม่เกิน 125ซี.ซี. และ 150 ซี.ซี.
แบบD นับได้ว่า เป็นแบบที่เริ่มมีการปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพและเปล ี่ยนแปลงไปจากของเดิมอยู่หลายประการ

(2) จากปี ค.ศ. 1955 ได้มีการผลิตแบบD 150 ซี.ซี. และ LD เรื่อยมา จนถึง ปี ค.ศ. 1959 ได้มีแบต่างๆ ผลิตออกมาเป็นลำดับ คือ
– ปี 1957 แบบ LD Mk. III
– ปี 1958 แบบ TV 175
– ปี 1959 แบบ 125 LD Mk. IV
แบบ LC และแบบ LD เป็นแบบที่สร้างจากเค้าโครงเดิมของแบบC และแบบD ดังที่กล่าวมาแล้ว แต่มีฝาครอบปกคลุมเครื่องยนต์มิดชิด และกระทัดรัดกว่าเดิม
แลมเบรตต้า ในปัจจุบัน แบบที่นับว่าเป็นที่นิยมแพร่หลายกันอยู่มากก็คือแบบ TV และ LI ซึ่งผู้ผลิตได้ใช้เวลาดัดแปลง แก้ไขและปรับปรุงตลอดมานับเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 12 ปี

ระบบการทำงานทุกระบบของแลมเบรตต้าได้รับการปรับปรุงข นานใหญ่ เช่น ระบบแขวนลอย (Suspension) ได้แก่จำพวก แหนบ โช๊คอับรูปสปริงกระบอก เหล็กคานนก (Stabilizer) และเบรค (Brake-ห้ามล้อ) ส่วนตัวเครื่องยนต์ก็ได้รับการปรับใหม่ให้มีเพลาส่งก ำลัง (Transmission) แบบเกียร์ (Gear = เครื่องยนต์เปลี่ยนกำลัง) 3 สปีด มีเฟืองขับในระบบเฟืองโซ่ขนานไปยังสปีดที่ 4 ของเกียร์ที่อยู่เพลาท้าย

ตัวคันถีบสตาร์ท (Kickstarter) ก็ได้ระดับมาตราฐาน รวมความแล้ว ผิดไปจากแบบแรกเริ่มออกไปอีกมาก
เหตุที่ว่า เครื่องยนต์ผิดไปจากเดิม ก็คือ ข้อเหวี่ยง (Crank) ของเครื่องยนต์จะไม่ทำงานในขณะที่สับหรือเปลียนเฟื่อ งเกียร์ จนกว่าจะปล่อยคลัทช์ให้เป็นอิสระจากคันเหยียบสตาร์ทใ ห้ทำงานเสียก่อน ส่วนกรรมวิธีอื่นๆ ก็ได้เปลี่ยนให้เป็นแบบเท่าเห็นกันอยู่ในปัจจุบัน

ภาระกิจของสกู๊ตเตอร์

ก่อนที่จะไปดูเรื่องของชื่อนั้น ลองมาดูเจ้าตัว แลมเบรตต้า กันสักนิดว่ารถทรงแบบนี้จะเรียกว่ารถประเภทอะไรดี จากรูปทรงงของ แลมเบรตต้าแล้วถูกจัดอยู่ในกลุ่มของรถสกู๊ตเตอร์(Scooter หรือ Moto Scooter) วงล้อที่ใช้เป็นล้อเล็ก ภาระกิจตอนนั้นถูกนำมาใช้ในงานสงครามเป็นหลัก ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 บริษัทวิศวกรรมทางทหารขยายตัวอย่างมาก แต่พอเสร็จสิ้นสงครามแล้วบริษัทเหล่านั้นได้หันมาผลิตรถสกู๊ตเตอร์

แต่นั่นก็ยังไม่ได้รับความนิยมมากเท่าไหร่ จนมาถึงช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เองที่นิยมเอามาใช้ขนย้ายทหาร และหลังจากที่สงครามโลกครั้งที่ 2 จบลงแล้ว รถสกู๊ตเตอร์เองก็ยังได้รับความนิยมมาอย่างต่อเนื่อง

เพราะด้วยความทนทานและที่สำคัญราคาถูก ในยุคนั้นรถสกู๊ตเตอร์มีขนาดเครื่องยนต์เพียง 98 ซีซี เท่านั้น จนได้มีการพัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆจนเป็น 125 ซีซี ขยับขึ้นมาเป็น 150 ซีซี และ 200 ซีซี นั่นก็เป็นประวัติคร่าวๆของการเกิดรถสกู๊ตเตอร์

เอกลักษณ์เฉพาะตัว

สำหรับเอกลักษณ์ของแลมเบรตต้านั้นจะเห็นได้ว่ามีความแตกต่างไปจากสกู๊ตเตอร์ยี่ห้ออื่นๆ โดยเมื่อปี 1947 นั้นได้ผลิต แลมเบรตต้า M ออกมา ก่อนที่จะมาเปลี่ยนเป็น Model A โดยใช้ตัวถังเปิดทรงหลอด

และไม่มีระบบการระบายอากาศที่ดีรวมไปถึงยังไม่มีระบบกันสะเทือนที่ดีนัก ทำให้ต้องอาศัยยางเป็นตัวช่วยซับแรงกระแทก จากนั้นไม่นานก็มาผลิต Lambretta B และนี่ก็คือต้นกำเนิดของการแข่งขันในตลาดสกู๊ตเตอร์ เพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งทางการตลาด

lambretta ช่วงปี1947

การแข่งขันในตลาดกู๊ตเตอร์

ถึงแม้จะมีการแข่งขันในตลาดอย่างดุเดือด แลมเบรตต้าก็ยังยึดหลักของความเป็นเอกลักษณ์กับรูปทรงหลอดอยู่ แต่ในบางรุ่นก็จะมีการเปลี่ยนแปลงจากระบบขับเคลื่อนด้วยเพลามาเป็นการขับเคลื่อนด้วยโซ่ และติดตั้งระบบเกียร์ไว้ใกล้ๆ กับล้อหลัง และตลาดของสกู๊ตเตอร์ก็รุ่งเรืองอย่างมากในปี 1950

จนทำให้ราคาค่อยๆ ขยับขึ้นและตัวรถเองก็มีความหรูหรามากขึ้น แต่เมื่อมีจุดสูงสุดก็ต้องมีจุดต่ำสุดเมื่อปี 1960 ผู้ใช้รถสกู๊ตเตอร์นั้นมีเพียงกลุ่มเล็กๆ และกลายเป็นรถที่เก็บสะสม จนทำให้แลมเบรตต้าเองก็ไม่ได้ผลิตรถสกู๊ตเตอร์ออกมา ซึ่งรถที่มีวิ่งอยู่ก็จะเป็นรถในยุคแรกที่มีการขายต่อๆ กันมา แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้แลมเบรตต้านั้นถูกลืม แต่กลับยิ่งทำให้แลมเบรตต้ามีความขลังมากขึ้น

1965-งานแสดงโชว์ lambretta

จนมาครั้งล่าสุดได้เห็นการกลับมาอีกครั้งของแลมเบรตต้า ในงาน EICMA ในปี 2017 ที่ประเทศอิตาลี ก่อนที่จะส่งมาถึงงาน Expo ปี 2018 ที่ประเทศไทย ที่ทำให้คนไทยได้เห็นและสัมผัสกันอีกครั้ง พร้อมกับการเปิดจองกันในงานทันที ซึ่งได้รับการต้อนรับอย่างล้นหลามทีเดียว

สำหรับที่มาของชื่อนั้นมีที่มาที่ไปเช่นกัน โดยเป็นชื่อที่ได้นำเอาสถานที่และความเชื่อมาผสมผสานกัน เป็นชื่อที่ได้รับการตั้งขึ้นจาก Innocenti ที่ได้นำชื่อของ Lambrate ซึ่งเป็นชานเมืองของมิลาน ประเทศอิตาลี มาตั้งชื่อ และยังได้เป็นชื่อของแม่น้ำที่ไหลผ่านที่โรงงานด้วย จึงได้มีการตั้งชื่อนี้ขึ้นมาและที่สำคัญชื่อนี้ก็ยังเป็นชื่อของ “เทพดาน้ำ” ในตำนานที่เกี่ยวข้องกับแม่น้ำที่ไหลผ่านในอดีตอีกด้วย แต่ก็ทำให้ แลมเบรตต้า เป็นที่รู้จักกันมาจนถึงทุกวันนี้

เชื่อได้ว่าหลังจากนี้แล้วจะได้เห็นรุ่นใหม่ๆออกมาวิ่งให้ได้เห็นกันเยอะขึ้น รวมไปถึงการตกแต่งในสไตล์ที่เป็นแบบฉบับของตัวเองที่จะดึงเอาเอกลักษณ์หรือความเป็นตัวตนของตัวเองออกมาให้มากที่สุด เชื่อว่าจะทำให้สาวก แลมเบรตต้า ทั้งหลายจะได้กลับมาสร้างความสนุกและสีสันให้กับผู้ที่หลงใหลในความคลาสสิคลและประวัติอันยาวนานที่ไม่ใช่เพียงแค่รถสะสมเท่านั้น


อ่านเนื้อหาอื่น ๆ เพิ่มเติม :  greekloot.com

สนับสนุนเนื้อหาโดย :   Sa gaming Sexy Baccarat , joker slotบาคาร่า UFABET

You may also like...

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น